เมนู

Goodwill Clinic

The Art of Aesthetic

ภาพรวมของตลาดเสริมความงามเติบโตขึ้นทุกปี โดยเฉพาะกลุ่มที่ให้บริการครบวงจร ทั้งการดูแลรักษาผิวและศัลยกรรมปัจจัยจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นและเทคโนโลยีที่ทันสมัย รวมถึงค่านิยมด้านความงามที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้ศัลยกรรมได้กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา นอกจากนี้การทำศัลยกรรมในปัจจุบันไม่ได้มีความยุ่งยากเหมือนเมื่อก่อน แพทย์มีความเชี่ยวชาญมากขึ้นรวมทั้งเทคโนโลยีที่ทันสมัยทำให้โรงพยาบาลใหญ่เริ่มที่จะหันมาเจาะตลาดเฉพาะทางด้านความงามเพิ่ม ส่งผลให้ตลาดเสริมความงามแข่งขันกันอย่างดุเดือดทั้งในด้านราคา และการให้บริการที่มีมาตรฐาน

“มุมมองการศัลยกรรมในบ้านเราจะแตกต่างจากต่างประเทศครับ ต่างประเทศจะเติบโตจาก Surgery ก่อน จากนั้นจึงจะมาเสริมแบบที่เจ็บน้อยลง เช่น การฉีดเสริมความงามแบบต่างๆ ที่ไม่จำเป็นต้องศัลยกรรม ในขณะที่เมืองไทยจะกลับกันเรา
จะทำจากฉีดหรือเสริมเล็กน้อยก่อน จากนั้นถึงจะขยับมาเป็นการผ่าตัด แต่ 2-3 ปีที่ผ่านมา บ้านเราเพิ่งจะมาบูมเรื่องของ Surgery มากขึ้น เข้าใจว่าเป็นกระแสที่มาจากเกาหลี ทำให้หมอไทยเริ่มพัฒนาทักษะและแข่งขันกับเกาหลีได้ จากเดิมในไทยตลาด Surgery มีอยู่แล้วแต่ค่อนข้างซ่อนเร้นคนไม่ค่อยอยากโชว์ว่าทำศัลยกรรมมาแต่พอกระแสการทำศัลยกรรมของเกาหลีเข้ามาคนก็มองว่าการทำ Surgery ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอีกต่อไป ส่งผลให้วัยรุ่นจำนวนมากในไทยยอมรับเรื่องของ Surgery มากขึ้น พอตลาดโตก็มีการทำการตลาดมากขึ้น ทำให้ตลาดมันขยายออกไป” 

คุณหมอณัฐ หรือ นพ.ณัฐวุฒิ กลั่นเรืองแสง พูดถึงมุมมองที่เปลี่ยนไปของตลาดเสริมความงามในเมืองไทย

ปัจจัยที่กล่าวมาทำการเติบโตของตลาดเสริมความงามในเมืองไทยช่วง 3 ปีที่ผ่านมาโตถึง 30-40% รวมถึงอายุของคนที่ทำ Surgery ก็เปลี่ยนไปจากเดิมจะเริ่มต้นที่อายุประมาณ 30-40 ขึ้นไป ปัจจุบันอายุลดน้อยลง

“คนทำศัลยกรรมเดี๋ยวนี้อายุน้อยลงและเท่าที่คุย คนไข้มองการศัลยกรรมตกแต่งเป็นเรื่องของแฟชั่น คนเปิดใจมากขึ้น วัยรุ่นกล้าที่จะพรีเซนต์ว่าเขาไปทำตา หรือจมูกมาทำให้เราเห็นว่าปัจจุบันกระแสหน้าแบบไหนที่มาแรงก็จะมีคนแห่กันไปทำ เพราะฉะนั้นกลุ่มคนที่อายุ 18-25 จะไม่ได้ทำการผ่าตัดแค่ครั้งเดียว เทรนด์แบบไหนมาเขาก็อาจจะเปลี่ยนทำแบบนั้นจนรู้สึกว่ามันเหมาะที่สุดแล้วซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็คือ ในแง่ของจิตใจ ทำให้มั่นใจและทำให้การศัลยกรรมดูไม่น่ากลัว เทคนิคในการผ่าตัดก็มีการพัฒนาไปเรื่อยๆ แต่ข้อเสียก็คือการลองผิดลองถูกมากทำให้สุดท้ายแล้ว กว่าจะหาแบบที่เหมาะสมกับตัวเองได้ ก็อาจจะไม่ได้สวย 100% เพราะการผ่าตัดมันจะมีบางส่วนที่ถูกทำลายไปบ้าง”

นั่นทำให้ กู๊ดวิลล์ คลินิก วาง Concept ของแบรนด์แตกต่างจากที่อื่น โดย นพ.ณัฐวุฒิ ผู้ซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการเสริมจมูกและปรับรูปหน้า และเป็นแพทย์ที่ได้รับการยอมรับจากแพทย์ในกลุ่มเสริมความงามในเรื่องประสบการณ์ในการปรับรูปหน้า นอกจากนี้ยังเป็นแพทย์ที่ได้เข้าอบรมดูงานด้านศัลยกรรมและเวชศาสตร์ความงามตามคลินิกและงานประชุมต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา อาทิ Hanabi Clinic กับ Dr.Geun-Uck Chang ที่เกาหลี, Academiklinikenกับ Dr.Per Herben ที่สวีเดน, Clinic Kenilk 34 กับ Dr.Frederic Bern ที่สวีเดน, Clinic Dr.Peter และ Clinic Dr.Alen ที่ไต้หวัน และ Riverbanks Clinic กับ Dr.Ravi Jain ที่อังกฤษ จนกลายเป็นแพทย์ที่ให้ความรู้และอบรมด้านการปรับรูปหน้าให้กับแพทย์รุ่นใหม่ๆ เช่น ได้รับเลือกอบรมเป็น Galderma Asia Pacific Honorable Trainner ของ Restylane ปี 2559รวมถึงได้รับเชิญไปเทรนเนอร์ให้กับหมอในประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ พม่า และลาวอย่างต่อเนื่อง โดยหมอณัฐเล่าให้ฟังว่า เราวางตัวเป็นนักออกแบบ เป็นศิลปินที่ทำงานศิลปะซึ่งจะออกแบบความงามให้เหมาะสม และทำให้คนไข้ดูดีโดยที่ไม่เสียความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเขาเอง นี่คือ Concept หลักของ Goodwill Clinic จึงพูดถึงเรื่องของ The Art of Aesthetic โดยยึดหลักการทำงาน 4 ข้อคือ Skill Special Safe และ Satisfy

“Skill และ Special เป็นเรื่องของเทคนิคและทักษะของหมอในเรื่องของ Beauty Concept แบบสากล เครื่องมือต่างๆ ที่นำมาใช้ในการประเมินว่าใบหน้าคนไข้ควรจะเป็นแบบไหน รวมถึงเทคนิคในการผ่าตัด เทคนิคในการฉีดเสริมความงามส่วนที่สองคือ Safe และ Satisfy สองเรื่องนี้สำคัญหากหมอเก่ง หมอทำดีแต่มันเกิดความผิดพลาดก็ไม่โอเค ผมมองว่าไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดหรือการฉีดเสริมความงาม เหล่านี้คือเรื่องของการรักษาเพราะฉะนั้นมันต้องมีเรื่องของความปลอดภัยเข้ามา บางทีคนไข้ก็อยากได้ตามแบบที่เขาต้องการแต่ทำแล้วอาจจะเกิดอันตรายมาก เราต้องคุยให้คนไข้เข้าใจว่าถ้าสิ่งที่คนไข้ต้องการคือความสวยสมบูรณ์แบบ 100% แต่มันมีความเสี่ยงสูง เราอาจจะลดความคาดหวังลงมาสัก 80-90% ได้ไหม เพื่อให้ความเสี่ยงน้อยลง โดยเราจะยึดเรื่องความปลอดภัยเป็นหลักสำคัญ การทำงานของเราจะใช้ทั้งศิลปะในการออกแบบและความปลอดภัยที่ควบคู่กันไปเพื่อหาจุดที่ลงตัวระหว่างความพึงพอใจ และปลอดภัย”

ในขณะที่การแข่งขันในตลาดเสริมความงามแข่งขันกันอย่างรุนแรงทั้งเรื่องของบริการและเทคนิคใหม่ๆ ที่มีความหลากหลาย รวมถึงเรื่องของราคาและโปรโมชั่น นพ.ณัฐวุฒิ บอกว่าเป้าหมายและความท้าทายของ Goodwill Clinic คือการสร้าง Awareness ให้คนไข้ทราบว่าสิ่งไหนที่เหมาะกับคนไข้ และทำให้เขาดูดีได้

“ผมมองว่าเรื่องของความสวยงามมันเป็นสไตล์ในทางการแพทย์มันไม่มีอะไรบอกชัดเจนว่า แบบไหนสวยหรือไม่สวย สิ่งที่เราอยากทำคือเราอยากดึงเสน่ห์ของคนไข้ออกมาให้ได้มากที่สุด ซึ่งเรามองว่าในตลาดยังไม่ค่อยมีที่จะบอกคนไข้ตรงๆ ว่าควรจะทำจุดไหนแล้วทำให้เขาดูดีขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นการทำตามกันไป ไม่ชอบใจก็เปลี่ยน ซึ่งเรามองว่าจริงๆ แล้ว ควรจะต้องทำให้คนไข้เข้าใจว่าแทนที่คุณจะมาลองทำคุณต้องค้นหาก่อนว่าการทำศัลยกรรมตรงไหนที่จะเข้ากับตัวเขา เหมาะกับเขาที่สุด เป็นการสร้าง Awareness เรามองว่าเราเป็น Tailor-made เราอยากเป็นเหมือนช่างตัดเสื้อที่ตัดแล้วพอดีเหมาะสมกับคนคนนั้น และความท้าทายของเราก็คือ เราจะทำอย่างไรให้การทำเฉพาะบุคคลของเรา ที่ตอนนี้ยังเป็น Niche Marketing ให้กลายเป็น Mass มากขึ้น” นพ.ณัฐวุฒิ เสริม

เมื่อถึงตอนนั้นการทำงานของ Goodwill Clinic อาจจะต้องถูกปรับเปลี่ยนทั้งเรื่องของเทคนิค ระบบงานและทักษะต่างๆ เพื่อรองรับความต้องการของคนไข้ที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต

ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://www.brandage.com/article/9349/Goodwill-Clinic